เวลาเรานั่งดูบอล หลายคนอาจเคยสงสัยว่า เฮ้ย! นักเตะวิ่งกันเต็มสนาม แต่ละคนเขายืนตำแหน่งไหน ทำหน้าที่อะไร แล้วมันสำคัญยังไงบ้าง? วันนี้เราจะพาไปทำความรู้จักกับ “ตำแหน่งนักเตะ” แบบเข้าใจง่าย ใครเป็นใครในสนาม ไปอ่านกันเลย!
รวมทุกหน้าที่และตำแหน่ง นักเตะ ที่สายบอลควรรู้!
1. ผู้รักษาประตู (Goalkeeper – GK)
ยืนหลังสุด คอยกันประตู ไม่ให้ทีมเสียประตู
ตำแหน่งนี้เด่นสุดเพราะใส่เสื้อไม่เหมือนเพื่อน เป็นคนเดียวที่ใช้มือเล่นบอลได้ในเขตโทษ หน้าที่หลักคือ “เซฟลูกยิง” จากคู่แข่ง ไม่ว่าจะยิงไกล ยิงจ่อ หรือโขกมา ยังไงก็ต้องพยายามป้องกันให้ได้ นอกจากนั้นยังต้องสั่งเกมรับ คุมแนวหลัง และเปิดบอลให้เพื่อนเริ่มเกมบุกใหม่ด้วย
ถ้านายประตูเก่ง ทีมจะมั่นใจสุดๆ เกมรุกก็กล้าเล่นมากขึ้น
ตัวอย่าง นักเตะ:
- อลีสซง เบ็คเกอร์ (ลิเวอร์พูล) – ผู้รักษาประตูสไตล์ “sweeper-keeper” กล้าออกมาตัดบอลสูง อ่านเกมเก่ง
- มานูเอล นอยเออร์ (บาเยิร์น มิวนิค) – เจ้าพ่อการออกมาตัดบอลด้วยเท้า มีประสบการณ์สูง โคตรนิ่ง
2. กองหลัง (Defenders – DF)
ตำแหน่งนี้มีหน้าที่กันไม่ให้คู่แข่งผ่านไปยิงประตูได้ โดยทั่วไปแบ่งได้เป็น 3-4 ประเภทย่อย
– เซ็นเตอร์แบ็ก (CB – Centre Back)
ตัวใหญ่ แข็งแรง หน้าที่กันหน้าเป้า
ยืนกลางแนวรับ คอยตัดบอลจากกองหน้าฝั่งตรงข้าม บางครั้งขึ้นโหม่งลูกเตะมุมด้วย เป็นหัวใจของแนวรับเลย
ตัวอย่างนักเตะ:
- เฟอร์จิล ฟาน ไดจ์ค (ลิเวอร์พูล) – สูงใหญ่ แต่สปีดเร็ว อ่านเกมดี โหม่งแน่น
- รูเบน ดิอาส (แมนฯ ซิตี้) – แข็งแรง เยือกเย็น บัญชาแนวรับเก่งมาก
– แบ็กขวา / แบ็กซ้าย (RB/LB – Right/Left Back)
ยืนริมเส้น ช่วยทั้งเกมรับและเกมรุก
ต้องมีความเร็ว วิ่งขึ้นลงบ่อย บางคนเด่นเรื่องเติมเกมรุกไปเปิดบอลให้กองหน้า
ตัวอย่างนักเตะ:
- เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ (ลิเวอร์พูล – RB) – แบ็กเปิดบอลแม่นมาก สไตล์เหมือนกองกลาง
- เตโอ แอร์กน็องเดซ (เอซี มิลาน – LB) – แบ็กซ้ายจอมบุก ยิงเองก็เก่ง เติมเกมเร็ว
– วิงแบ็ก (Wing Back)
ลูกผสมระหว่างแบ็กกับปีก
พบได้ในระบบ 3-5-2 หรือ 5-3-2 ต้องวิ่งขึ้นลงเยอะ ช่วยทั้งเกมรุกและเกมรับแบบสุดตัว
ตัวอย่างนักเตะ:
- เจา กานเซโล่ (บาร์เซโลนา/แมนฯ ซิตี้) – วิงแบ็กตัวเก่ง เล่นได้ทั้งซ้าย-ขวา ทักษะดี เติมเกมเก่งสุดๆ
3. กองกลาง (Midfielders – MF)
เรียกได้ว่าเป็นหัวใจของทีม คอยเชื่อมเกมรุกและเกมรับ แบ่งได้หลายแบบเลย
– มิดฟิลด์ตัวรับ (CDM – Defensive Midfielder)
ตัวคุมจังหวะเกม คอยสกัดบอลก่อนถึงแนวรับ
บางคนเรียกว่ากองกลางตัวตัดเกม ต้องมีไหวพริบดี ตัดบอลเก่ง อ่านเกมเร็ว
ตัวอย่างนักเตะ:
- เอ็นโกโล่ ก็องเต้ (อัล อิตติฮัด) – วิ่งไม่มีหมด เก็บบอลได้เยอะ อ่านเกมไว
- โรดรี้ (แมนฯ ซิตี้) – ตัดเกมดี จ่ายบอลนิ่ง คุมจังหวะทั้งเกมได้
– มิดฟิลด์ตัวกลาง (CM – Central Midfielder)
คอยคุมเกมตรงกลาง วิ่งขึ้นลงเยอะสุดในทีม
ช่วยทั้งรุกและรับ คอยแปะบอล เปลี่ยนจังหวะเกม ถือเป็นตำแหน่งสารพัดประโยชน์
ตัวอย่างนักเตะ:
- จู๊ด เบลลิงแฮม (เรอัล มาดริด) – ครบเครื่อง ทำเกม เติมยิง ตัดเกมก็ทำได้
- ลูก้า โมดริช (เรอัล มาดริด) – คุมเกมนิ่ง จ่ายบอลแม่น วิ่งไม่มีหมด
– มิดฟิลด์ตัวรุก (CAM – Attacking Midfielder)
นักสร้างสรรค์เกม หรือ เพลย์เมกเกอร์
สร้างโอกาสให้เพื่อนยิง เป็นตัวจ่ายคิลเลอร์พาส คนที่ยืนตำแหน่งนี้ส่วนมากมีเซนส์บอลสูง
ตัวอย่างนักเตะ:
- เควิน เดอ บรอยน์ (แมนฯ ซิตี้) – เพลย์เมกเกอร์อันดับหนึ่ง จ่ายแม่น มีวิชั่นสุดๆ
- บรูโน่ แฟร์นันด์ส (แมนฯ ยูไนเต็ด) – จ่ายบอลเก่ง ยิงไกลดี ยิงจุดโทษด้วย
4. กองหน้า (Forwards – FW)
คนที่แบกภาระเรื่องการยิงประตู! แบ่งออกเป็นหลายบทบาทเช่นกัน
– ศูนย์หน้า (ST – Striker)
ตัวจบสกอร์ เบอร์ 9 ในตำนาน
ทำหน้าที่ยิงประตูโดยเฉพาะ ต้องคม รู้จังหวะหาพื้นที่
ตัวอย่างนักเตะ:
- เออร์ลิง ฮาแลนด์ (แมนฯ ซิตี้) – ยิงเยอะ ยิงคม ตัวใหญ่วิ่งเร็ว
- แฮร์รี่ เคน (บาเยิร์น มิวนิค) – จบสกอร์เฉียบ คุมบอลเก่ง ยิงได้ทุกระยะ
– กองหน้าตัวต่ำ (CF – Centre Forward)
รับบอลจากกลาง เชื่อมกับหน้าเป้า
บางคนเล่นคล้ายกองกลางตัวรุก แต่เน้นการปั้นเกมในแดนหน้า
ตัวอย่างนักเตะ:
- ลิโอเนล เมสซี่ (อินเตอร์ ไมอามี่) – เล่นเป็น False 9 หรือ CF ได้ดีเยี่ยม
- อองตวน กรีซมันน์ (แอต. มาดริด) – เชื่อมเกมดี วิ่งไล่บอล เล่นบอลฉลาด
– ปีกซ้าย / ขวา (LW / RW – Left/Right Winger)
นักวิ่งริมเส้น เปิดบอล เกี่ยวเกม
ต้องเร็ว คล่อง เปิดบอลแม่น และยิงได้เมื่อมีโอกาส นักเตะอย่าง ซาล่าห์ หรือวินิซิอุส ถือว่าเป็นตัวจี๊ดของตำแหน่งนี้
ตัวอย่างนักเตะ:
- วินิซิอุส จูเนียร์ (เรอัล มาดริด – LW) – กระชากเร็ว ยิงเองก็เก่ง
- โมฮาเหม็ด ซาล่าห์ (ลิเวอร์พูล – RW) – ยิงประตูเยอะ สปีดไว สร้างสรรค์เกมเองได้
ทำไมเราต้องรู้จักตำแหน่ง นักเตะ ?
หลายคนอาจสงสัยว่า “แค่ดูบอลจะไปรู้ตำแหน่งละเอียดๆ ทำไมให้ยุ่งยาก?” แต่จริงๆ แล้วการเข้าใจตำแหน่งแต่ละคน มันช่วยให้เราดูบอลสนุกขึ้นเยอะ!
- รู้ว่าคนนี้เก่งอะไร จะได้ไม่ไปด่าผิดคน เช่น กองหลังพลาดคือเรื่องใหญ่ แต่กองหน้ายิงไม่เข้าบางจังหวะอาจไม่ใช่โอกาสดีจริงๆ
- เข้าใจแผนการเล่น เช่น เล่นระบบ 4-3-3 กับ 3-5-2 ต่างกันยังไง ใครทำหน้าที่ตรงไหนบ้าง
วิเคราะห์นักเตะได้แม่นขึ้น เช่น ถ้ารู้ว่าคนนี้คือวิงแบ็ก ก็จะรู้ว่าทำไมวิ่งขึ้นวิ่งลงทั้งเกม ไม่ใช่แค่วิ่งมั่วๆ
ส่งผลยังไงกับการแทงบอล?
สำหรับสายแทงบอล บอกเลยว่า “รู้ตำแหน่ง” คือแต้มต่อแบบเนียนๆ เลยนะ
1. วิเคราะห์ฟอร์มทีมได้แม่นกว่า
ถ้ารู้ว่านัดนี้กองหลังตัวหลักเจ็บ ต้องใช้สำรองมาแทน ก็ประเมินเกมรับทีมนี้ได้เลยว่าอาจมีรั่ว แทงบอลรองไว้ได้กำไรสวยๆ
2. เข้าใจจุดเด่นของนักเตะ
อย่างถ้าเราเล่นบอลยิงประตู (เช่น ใครจะยิงก่อน, ใครจะยิงได้ในเกม) ก็ต้องรู้ว่ากองหน้าคนไหนฟอร์มดี หรือมิดฟิลด์ตัวรุกคนไหนมีโอกาสทำประตูสูง
3. เลือกเล่นตามแผนการเล่นได้
บางทีมเล่นรับแน่น รอจังหวะสวน อาจไม่เหมาะกับการเล่นสูง-ต่ำ แต่ถ้ารู้ว่าทีมนี้ใช้แบ็กเติมเกมบุกเก่ง ก็มีโอกาสเกมเปิดมากกว่าเดิม
สรุป
การรู้จักตำแหน่งนักเตะ ไม่ใช่แค่เอาไว้เรียกให้ถูกเท่านั้น แต่มันช่วยให้เรา “เข้าใจเกมมากขึ้น” มองออกว่าทีมไหนเล่นแผนอะไร ใครขาด ใครลง จะส่งผลกับเกมยังไง
โดยเฉพาะถ้าคุณเป็นสายแทงบอล ข้อมูลพวกนี้คืออาวุธลับ! เพราะการวิเคราะห์ก่อนแทง ไม่ได้ดูแค่ชื่อทีมใหญ่หรือเล็ก แต่ต้องดูด้วยว่าใครลง ยืนตำแหน่งไหน แท็กติกเข้ากันไหม ฟอร์มตรงตำแหน่งนั้นเป็นยังไง
- ถ้ารู้ว่าทีมไหนวิงแบ็กเติมเกมเก่ง → น่าแทง “สูง”
- ถ้ารู้ว่ากองกลางตัวรับเจ็บ → เกมรับอาจรั่ว → แทง “รอง” ได้ลุ้น
อยากวิเคราะห์เกมแม่นยิ่งขึ้น? สมัคร Globalball เว็บตรงไม่ผ่านเอเย่นต์ แทงบอลออนไลน์ ที่รวมข้อมูลสถิติ ฟอร์มผู้เล่น และโปรโมชั่นสุดคุ้ม
→ บอกเลย รู้เรื่องตำแหน่ง = รู้ทางรวยของสายวิเคราะห์บอลแน่นอน! ⚽💸
No responses yet